วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ความซื่อสัตย์

ความซื่อสัตย์ ( Integrity ) ” ในการทำงาน .... สำคัญไฉน
          ก่อนอื่นต้องถามตัวคุณเองก่อนว่า คุณมีความซื่อสัตย์ ( Integrity) ในการทำงานมากน้อยแค่ไหน และแน่นอนว่าคงจะไม่มีใครตอบว่าตนเองไม่มีความซื่อสัตย์ ความซื่อสัตย์จึงเป็นคุณลักษณะที่สำคัญและเป็นที่ต้องการในทุกองค์การ ซึ่งความซื่อสัตย์นอกจากจะหมายถึงการ รักษาความลับ ผลประโยชน์ และทรัพย์สินต่าง ๆ ของบริษัทแล้ว ความซื่อสัตย์ยังหมายรวมไปถึงการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและไม่บิดเบือนจากความเป็นจริง และการปฏิบัติตามระเบียบหรือกฎของบริษัท และยังพบว่าอีกว่ามีหลายองค์การได้กำหนดความซื่อสัตย์เป็นวัฒนธรรมองค์การ (Corporate Culture) หรือคุณค่าร่วม ( Core Value) ที่เกี่ยวข้องกับความคิดความเชื่อที่อยากให้พนักงานทุกคนปฏิบัติ
          แล้วทำไมคุณจะต้องมีความซื่อสัตย์ในการทำงาน ..... ความซื่อสัตย์ในการทำงานจะส่งผลโดยตรงต่อคุณลักษณะส่วนบุคคล ( Personal Attribute) ของตัวคุณเองที่คนอื่นมองหรือรับรู้ในตัวคุณว่าเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์หรือไม่ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงผลต่อเนื่องไปยังหน่วยงานและองค์การของคุณเอง ทั้งนี้คุณลักษณะของความซื่อสัตย์จะมีความสำคัญและส่งผลต่อตัวคุณและต่อหน่วยงานหรือองค์การของคุณ ขอสรุปได้ดังต่อไปนี้
          1. การได้รับ ความไว้วางใจ จากหัวหน้างานของคุณ พนักงานที่มีความซื่อสัตย์ย่อมทำให้หัวหน้างานพร้อมและกล้าพอที่จะมอบหมายงานที่สำคัญหรือเป็นความลับของบริษัทให้กับคุณ เพราะหัวหน้าไว้วางใจตัวคุณเพราะรู้ว่างานที่มอบหมายให้ไปนั้นคุณต้องทำเสร็จและข้อมูลที่คุณทำนั้นมีความถูกต้องอย่างแน่นอน
          2. ความน่าเชื่อถือ ได้ของตัวคุณ คุณจะได้รับการยอมรับและการกล่าวถึงในทางที่ดีจากบุคคลรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง หรือแม้กระทั่งลูกค้าของคุณเอง เช่น ยอมรับว่าคุณมีความรับผิดชอบและความตั้งใจทำงาน เนื่องจากคุณไม่เคยที่จะขาดงานหรือมาสาย รวมทั้งข้อมูลที่คุณให้นั้นมีความถูกต้องและเป็นปัจจุบันเสมอ
          3. สร้างผลงาน ( Performance) ของตัวคุณ ความซื่อสัตย์ทำให้คุณมีโอกาสทำงานใหญ่หรือสำคัญ ซึ่งอาจเป็นงานที่มีผลกระทบต่อหน่วยงานหรือองค์การ โดยคุณจะมีโอกาสแสดงฝีมือการทำงานของคุณและโอกาสนี้เองย่อมจะส่งผลต่อเนื่องไปยังผลผลการปฏิบัติงาน     ( Performance) และมูลค่าเพิ่ม ( Added Value) ของตัวคุณเอง
          4. รักษาผลประโยชน์ของหน่วยงาน/บริษัท หากคุณมีความซื่อสัตย์แล้วล่ะก็ ย่อมหมายถึงคุณไม่ได้เอาเปรียบหน่วยงานและบริษัท เนื่องจากคุณทำงานอย่างเต็มที่ ได้ปฏิบัติตามระเบียบและรักษาทรัพย์สินของบริษัท และรวมถึงคุณไม่เอาความลับของบริษัทไปเปิดเผยให้คู่แข่งรับรู้ ซึ่งหมายถึงคุณกำลังรักษาผลประโยชน์ให้กับหน่วยงานและบริษัทของคุณเอง
          มาถึงคำถามที่ว่า หากจะวัดหรือประเมินความซื่อสัตย์ได้อย่างไร เช่น หากถามว่านาย ก มีความซื่อสัตย์มากกว่านาย ข นั้น เราจะพิจารณาหรือประเมินได้จากอะไรได้บ้าง และเพื่อทำให้องค์การสามารถประเมินหรือวัดความซื่อสัตย์ได้ จึงทำให้องค์การได้กำหนดความซื่อสัตย์เป็นพฤติกรรมหรือความสามารถอย่างหนึ่ง ( Competency) ซึ่งสามารถกำหนดได้เป็นความสามารถหลัก ( Core Competency) ที่เป็นความสามารถหรือพฤติกรรมที่ใช้วัดหรือประเมินพนักงานสำหรับทุกคนและทุกตำแหน่งงาน นอกจากนี้ยังสามารถกำหนดเป็นความสามารถในงาน ( Job Competency) ได้อีกด้วย ซึ่งพฤติกรรมของความซื่อสัตย์นั้นสามารถกำหนดเป็นพฤติกรรมออกมาแยกเป็นระดับต่าง ๆ เพื่อใช้ประเมินผลและพัฒนาพนักงานได้ โดยขอยกตัวอย่างของการแบ่งพฤติกรรมความซื่อสัตย์ออกเป็น 5 ระดับ ดังต่อไปนี้
ระดับลักษณะพฤติกรรม
1 (ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดอย่างมาก) •  ให้ข้อมูลที่บิดเบือนจากความเป็นจริง เป็นเหตุให้เกิดปัญหาหรือความเข้าใจผิดได้ •  หลีกเลี่ยงการตักเตือนหรือแจ้งผู้ที่ทำผิดระเบียบหรือกฎของบริษัท •  ปฏิเสธและไม่ยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น โดยมักจะอ้างถึงผู้อื่นอยู่เสมอ •  ละเมิดระเบียบหรือกฎของบริษัทอยู่เสมอ
2 (ต่ำกว่ามาตรฐาน ที่กำหนด) •  ดูแลและรักษาทรัพย์สินและผลประโยชน์ของบริษัทบ้างเป็นบางครั้ง •  ตักเตือนหรือแจ้งผู้ที่ทำผิดระเบียบหรือกฎของบริษัทเท่าที่จำเป็น •  ไม่ประพฤติตนตามระเบียบหรือกฎของบริษัทเป็นบางครั้ง
3 (ตามมาตรฐาน ที่กำหนด) •  รับฟังและไม่นำข้อมูลของผู้อื่นมาเปิดเผย •  ดูแลและรักษาทรัพย์สินและผลประโยชน์ของบริษัทอยู่เสมอ •  ไม่นำทรัพย์สินของบริษัทมาใช้ประโยชน์ส่วนตัว •  ประพฤติตนตามระเบียบหรือกฎของบริษัทอยู่เสมอ
4 (สูง/เกินกว่ามาตรฐานที่กำหนด) •  ไม่เปิดเผยข้อมูลของหน่วยงานที่อาจสร้างความขัดแย้งหรือปัญหาให้เกิดขึ้นได้ •  ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน และเหมาะสมกับกลุ่มคน เวลา และสถานการณ์ •  ตักเตือนสมาชิกในทีมเมื่อทำผิดระเบียบหรือกฎของบริษัท •  ยอมรับและหาทางแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการทำงานของตนเอง
5 (สูง/เกินกว่า มาตรฐานที่กำหนดอย่างมาก) •  แจ้งผู้ที่เกี่ยวข้องเมื่อพบเห็นพนักงานในองค์กรทำผิดระเบียบหรือกฎของบริษัท •  ปลุกจิตสำนึกให้สมาชิกทั้งภายในและภายนอกหน่วยงานมีจรรยาบรรณและคุณธรรมในการทำงานและในวิชาชีพของตน •  นำทรัพย์สินของตนเองมาใช้เพื่อให้การทำงานประสพผลสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนด
         ดังนั้น ความซื่อสัตย์จึงเป็นพฤติกรรมหรือความสามารถด้านหนึ่งที่คุณเองไม่ควรละเลยหรือเพิกเฉย คุณควรเริ่มสำรวจตัวเองว่าคุณมีความซื่อสัตย์ในการทำงานหรือไม่ และอยู่ในพฤติกรรมระดับไหน ทั้งนี้ขอให้คุณเปิดใจพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตนเองให้มีความซื่อสัตย์ในการทำงาน ซึ่งคุณเองอาจลืมหรือคิดไม่ถึงว่าพฤติกรรมความซื่อสัตย์ของตัวคุณเองนั้นจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ปรากฏต่อสายตาของผู้อื่นและบุคคลรอบข้าง และจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงผลประโยชน์ที่หน่วยงานและองค์การจะได้รับ

วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หัวใจชายหนุ่ม

สรุปเรื่อง หัวใจชายหนุ่ม

ผู้แต่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

เกี่ยวกับผู้ทรงพระราชนิพนธ์

-         เป็นบทพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ ๖ ทรงใช้นามปากกาว่า รามจิตติ

-         ทรงเป็นโอรสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระนามเดิม คือ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ

-         ทรงได้รับสามัญญา ว่า พระมหาธีระราชเจ้า แปลว่า นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่

-         ทรงคัดเลือกจดหมายฉบับที่น่าอ่าน ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ดุสิตสมิต ซึ่งเป็นหนังสือพืมพ์รายสัปดาห์

ลักษณะการแต่ง บันเทิงคดี โดยใช้การเขียนจดหมายเล่าเรื่องเป็นตอนๆต่อเนื่องกันไป เป็นจด ๑๘ ฉบับ

เรื่องย่อ นายประพันธ์เป็นนักเรียนนอกเรียนจบจากอังกฤษ มีความนิยมวัฒนธรรมผรั่ง ชื่นชมผู้หญิงสมัยใหม่จนได้แต่งงานกับผู้หญิงทันสมัย ที่ขาดคุณสมบัติขิงภรรยาที่ดี ชีวิตประสบอุปสรรคแต่ในที่สุดปัญหาต่างๆก็คลี่คลายไป

ข้อความสำคัญของจดหมาย

จดหมายฉบับที่ ๑ เรือโอยามะมะรูในทะเลแดง

-         การรักเมืองไทยเปรียบเหมือนรักพ่อแม่แต่การรักเมืองอังกฤษเหมือนรักเมีย

-         การเต้นรำเหมือนชีวิตของฉัน เพื่อนๆเคยล้อว่าถ้าฉันไม่เต้นรำนานๆถึงปวดท้อง

-         การเต้นรำมาสู้สำคัญเท่าเรื่องที่ไม่ได้กอดผูหญิงนั่นแหละ ถ้าไม่มีการเต้นรำ เราจะวิ่งไปกอดเขาดื้อๆใครเขาจะยอม

-         ในเมืองไทยยังมีคนครึอยู่มาก ที่ชอบเก็บลูกสาวไม่ให้พบเห็นผู้ชาย

-         ฉันแทบอยากจะพาเอาลีลี่เข้าไปเสียด้วยแล้ว แต่นึกสงสารหล่อนที่จะต้องไปตกในหมู่คน อันศิวิไลช์จะทนทานไม่ไหว

      จดหมายฉบับที่ ๔ บ้านที่หัวลำโพง

-         ฉันต้องไหว้คนมาเสียมากต่อมากจนนับไม่ถ้วน ฉันแทบจะลงรอยท่ป็นท่าประณมอยู่ 

เสมอป็นแล้วและหลังก็เกือบจะโค้งเพราะคำนับคนไม่ได้หยุด

-         ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของคุณพ่อ คือ อยากให้ฉันเข้ารับราชการในราชสำนัก แต่ผู้ที่

ต้องการสมัยนี้มันมีมากมายจนเหลือตำแหน่ง

-         ฉันบอกว่าจะลองประกอบอาชีพค้าขายดูบ้างแต่คุณพ่อไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น ท่านว่า

ค้าขายไม่มีหนทางที่จะเป็นใหญ่เป็นโตต่อไปได้

-         ฉันได้ไปเรียนมาจากยุโรป..จะแต่งงานแบบคลุมถุงชนไม่ได้เลย

-         กรุงเทพฯหาที่เที่ยวยากเพราะขาดเร็สตอรังศ์และโรงละครดีๆ

จดหมายฉบับที่ ๕ ถนนหัวลำโพง

-         ในที่สุดฉันเป็นอันได้เข้ารับราชการในกรมพาณิชย์และสถิติพยากรณ์

-         ฉันไปดูตัวแม่กิมเน้ยแล้วหน้าตาหล่อนเหมือนนางชุนฮูหยิน ตายาว หลังตาชั้นเดียว ผิวขาวดี ใช้เสื้อผ้าดีถูกแฟชั่นแต่แต่งเครื่องเพชรมากไป

-         รายที่ฉันเล่ามาในจดหมายว่าได้เห็นที่โรงพัฒนากรนั้น ได้สืบสาวว่าหล่อนชื่ออุไร ได้ข่าวว่าหล่อนเป็นผู้หญิงสมัยใหม่แท้ ไม่หดหู่กลัวผู้ชาย

-         ถ้าได้รู้จักผู้หญิงอย่างเช่นแม่อุไรแล้วจะทำให้ฉัยค่อยวายค่อยวายคิดถึงเมืองอังกฤษได้และจะทำให้ชีวิตเป็นของน่าดำรงอีกด้วย

-         หล่อนจะพอใจในตัวฉันหรือไม่ก็ยังไม่รู้ได้ เพราะหล่อนเป็นผู้ที่มีชายตอมมานานแล้ว

จดหมายฉบับที่ ๖ ถนนหัวลำโพง

-         นึกๆก็น่าประหลาดอยู่ที่ในเมืองเรานี้พี่น้องจูบกันไม่ได้เหมือนอย่างฝรั่งเขา แต่นึกไปอีกทีก็เห็นว่าห้ามไว้ดีกว่า ของฝรั่งเขาพี่น้องแต่งงานกันไม่ได้ แต่ของเราเป็นผัวเมียกันได้เท่ากับไม่ได้เป็นญาติกัน

-         ฉันได้เห็นอย่างแน่นอนว่าหล่อน ปอปูลาร์ปานใด หล่อนราวกับดวงไฟที่มีตัวแมลงบินตอมว่อนอยู่ หล่อนได้ยอมให้ฉันพาเที่ยวทุกคืน เต้นรำด้วยกัน กิน สัปเป้อร์ด้วยกันทุกคืน คนอื่นๆพากันริษยาฉันเป็นแถว

-         หล่อนเป็นผู้หญิงที่งามที่สุดของฉันได้พบในกรุงสยาม ไม่ใช่งามแต่รูปทั้งกิริยาก็งามยวนใจ พูดก็ดีและเสียงเพราะราวกับเพลงดนตรี

-         นึกถึงชุนฮูหยินที่คุณพ่ออยากได้เป็นลูกสะใภ้นัก หล่อนแต่งตัวไปเสียเพียบเพื่อ โช คน พราวทั้งตัวราวกับหุ่นที่เขาติดของสำหรับขาย

จดหมายฉบับที่ ๙ หัวหิน

-         การแต่งงานของฉันหาได้เป็นไปโดยสมปรารถนาทุกประการไม่ แต่ข้อสำคัญคือว่าได้แต่งงานกันแล้ว ทำให้ค่อยโล่งใจไปมากเพราะตามที่เป็นอยู่ก็แต่ก่อนรู้สึกว่ามันไม่งดงามเลย

-         ท่านไม่อยากได้แม่อุไรมาเป็นลูกสะใภ้ โดยรังเกียจว่าได้เคยรู้จักมักคุ่นกับผู้ชายมาหลายคนแล้ว ที่บ้านนั้นใช้คำเรียกว่า โรงเรียนฝึกหัดเจ้าชู้

-         ในที่สุดฉันต้องบอกท่านว่า ถ้าจะให้คอยอีกปีหนึ่งละก็คุณพ่อต้องได้หลานเสียนั้นแล้ว ท่านตะลึงเป็นครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า เมื่อเจ้าได้ชิงสุกก่อนห่ามเสียเช่นนั้นแล้ว พ่อก็สิ้นพูด

-         เมื่อแต่งงานแล้วได้ตกลงมา ฮันนี่มูน ที่หัวหิน แม่อุไรว่าเราเริ่มรักกันจริงจังที่หัวหิน แต่ฤดูนี้คนไม่ค่อยมากัน ออกจะเงียบๆอยู่

จดหมายฉบับที่ ๑๑ บ้านถนนสี่พระยา

-         บ้าน!”คำนี้ที่จริงควรเป็นคำไพเราะที่สุดสำหรับมนุษย์ แต่อนิจจาฉันเป็นคนอาภัพ ไม่ได้รับความสบายกายสบายใจด้วยคำว่า บ้าน นี้เลย

-         ถ้าขืนอยู่ที่เพชรบุรีต่อไปอีกสองหรือสามวันก็คงต้องอายขอายหน้าเขาเป็นแน่ ชาวเพชรบุรีคงได้เห็นฉันกับเมียวิวาทกันกลางเมือง

-         แม่อุไรเมียรักของฉัน เขาดูเหมือนจะถือคติตรงกันข้าม คือเห็นว่าถ้าโกรธผัวได้ต่อหน้าเป็นเกียรติยศดี

-         เมื่อมาถึงสถานีไม่มีผู้มารับเลยจนคนเดียว ทำให้แม่อุไรโกรธและบ่นไม่รู้จบพูดจาแดกดันจนฉันขอไว้เพราะการทะเลาะต่อหน้าคนแจวเรือจ้างดูไม่เป็นการงดงามเลย

-         เสียใจที่ดิฉันเป็นลูกผู้ดี ไม่เคยต้องยกต้องขนของอะไรเอง

จดหมายฉบับที่ ๑๒ บ้านที่ถนนสี่พระยา

-         จริงอยู่การที่ฉันหย่ากับแม่อุไรได้ถูกบางคนนินทาติโทษ แต่ฉันถือคติว่าการแต่งงานเป็นกิจส่วนตัว ไม่มีผู้ใดมารับสุขรับทุกข์แทนได้

-         ฉันเห็นว่าการที่ฉันคงเป็นผัวหญิงที่ไม่ด้อยู่ในบ้านฉันและไปอยู่ที่บ้านชายอื่นนั้น เป็นการหน้าด้านพ้นวิสัยจะทำได้

-         เขาตกลงหาบ้านให้แม่อุไรที่ราชประสงค์ เขาได้เงินเดือน ๗๐๐ บาท มีบ้าน๒หลัง เมีย๘คน ม้า๔ตัว เล่นกีฬาและเลี้ยงเพื่อนฝูงบ่อยๆเก่งไหม?

-         ฉันได้ย้ายตำแหน่งมาเป็นผู้ช่วยเจ้ากรมโรงเรียนในพระราชูปถัมภ์

-         ส่วนทางเสือป่า ฉันได้เข้าไปประจำอยู่กรมม้าหลวงแล้ว การที่เคยฝึกหัดในกองฝึกหัดนายทหารที่อ๊อกฟอร์ดนั้นเป็นผลดีแก่ฉันทีเดียว นได้เป็นผู้รั้งผู้บังคับบัญชาหมวดผู้๑ และได้เลื่อนยศเป็นนายหมู่เอก

จดหมายฉบับที่ ๑๕ กรมเสือป่าม้าหลวง ร.อ.พระราชวังสนามจันทร์

-         มีการเต้นรำของกระทรวงต่างประเทศ พระยาตระเวนพาลูกสาวไปแต่ไม่ได้พาแม่อุไรไปด้วยเพราะยังไม่ได้เป็นผัวเมีย โดยทางราชการ

-         งานฤดูหนาวพระยาตระเวนเดินดวงอยู่กับแม่สร้อยโดยมาก ส่วนแม่อุไรคงนึกแค้นไม่น้อยเพราะเขาถือตัวว่า เป็นผู้หญิงงามลัยั่วยวนมากที่สุดในเมืองไทยและเชื่อว่าจะผูกใจอันรวนเรของพระยาตระเวนไว้ได้

-         หล่อนคงเห็นชอบตามสุภาษิตอังกฤษว่า ขนมปังครึ่งก้อนยังดีกว่าไม่มีเลย

-         ความจริงมีอยู่ว่าผู้ชายใดยิ่งมีชื่อเสียงเป็นนักเลงผู้หญิงมักก็ยิ่งหาเมียง่าย

-         เมื่อไรผู้หญิงไทยที่ดีๆพร้อมใจกันตั้งกติกาไม่ยอมเป็นเมียคนที่เลี้ยงผู้หญิงไว้อย่างเลี้ยงไก่เป็นฝูงๆเท่านั้นแหละ ผู้ชายพวกมักมากในกามซึ่งจะต้องกลับความคิดและเปลี่ยนความประพฤติ

จดหมายฉบับที่ ๑๗ บ้านที่ถนนสี่พระยา

-         ฉันมีความยินดีที่ฉันได้เลื่อนยศเป็นนายหมู่ใหญ่ขึ้นแล้ว นับว่าได้ขึ้นเร็วเกินกว่าที่ฉันเองคาดหมาย

-         หล่อนแต่งตัวเรี่ยม เสื้อแพรสีชมพูบางๆนุ่งซิ่นไหมสีชมพู ประดับเครื่องเพชร พลอยพองาม แต่ผัดหน้ามากไปสักหน่อย

-         คุณหลวงจะลงโทษอย่างไรดีฉันยอมรับทุกอย่าง ขอแต่ให้มีความกรุณาต่อดิฉันผู้เป็นสัตว์ผู้ยากเท่านั้น

-         พระยาตระเวนต้องการบ้านที่ราชประสงค์สำหรับแม่สร้อยเมียรักเขาอยู่ เขาจึงขอให้แม่อุไรไปอยู่ที่อื่น บ้านก็ไม่มีจะอยู่ เงินทองก็ไม่มีใช้สอย

-         หล่อนได้ขุดอู่ตามใจตนเองแล้ว เมื่อนอนในอู่นั้นไม่สบายจะโทษใครได้ การที่หล่อนกับฉันจะกลับคืนดีกันใหม่นั้น ฉันไม่แลเห็นหนทางที่จะเป็นไปได้

          จดหมายฉบับที่ ๑๘ บ้านที่ถนนสี่พระยา

-         ฉันต้องรีบบอกข่าวดีให้ทราบ แม่อุไรตกลงแต่งงานกับหลวงพิเศษผลพานิช พ่อค้ามั่งมี ซึ่งนับว่าโชคดีสำหรับหล่อน

-         หลวงพิเศษนั้นรูปร่างไม่ใช่เทวดาถอดรูป แต่หวังใจว่าคงจะเข้าลักษณะขุนช้างคือ

          ถึงรูปชั่วใจช่วงเหมือนดวงเดือน ถึงใจไม่ช่วงเขาก็มีเงินพอที่จะซื้อความสุขให้แม่      

             อุไรได้

-         ฉันขอบอกตรงๆว่า ฉันได้รักผู้หญิงอยู่รายหนึ่งแล้ว ซึ่งฉันหวังว่าจะได้เป็นคู่ชีวิตกันต่อไปโดยยั่งยืนจีรัง

-         หล่อนชื่อนางสาวศรีสมาน เป็นลูกสาวพระยาพิสิฐเสวก ฉันกับหล่อนได้คุ้นเคยพูดจากันเป็นที่ต้องใจแล้ว เจ้าคุณพิสิฐกับคุณพ่อของฉันก็ชอบกันมาก พอพ่อประเสริฐกลับเข้ามากรุงเทพฯก็เตรียมตัวเป็นเพื่อนบ่าวทีเดียวเถิด